“ทรัมป์” จัดระเบียบใหม่ค้าโลก เศรษฐกิจไทย บนความปั่นป่วนรายวัน

25 กุมภาพันธ์ 2568
“ทรัมป์” จัดระเบียบใหม่ค้าโลก เศรษฐกิจไทย บนความปั่นป่วนรายวัน

สภาพัฒน์ แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ของไทยปี 2567 ขยายตัว 2.5% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ขยายตัว 1.9% โดยจีดีพีไทยปี 2567 มีมูลค่า 18.58 ล้านล้านบาท (5.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีมูลค่า 17.95 ล้านล้านบาท (5.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ)

สำหรับในปี 2568 สภาพัฒน์ประมาณการจีดีพีไทยจะขยายตัวที่ 2.3-3.3% หรือค่ากลางที่ 2.8%(รวมผลกระทบจากสงครามการค้าแล้ว) โดยคาดการณ์การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 3.3% การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาลคาดขยายตัว 1.3% การลงทุนภาคเอกชนคาดจะขยายตัว 3.2% การลงทุนภาครัฐคาดจะขยายตัว 4.7% มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในรูปดอลลาร์สหรัฐคาดจะขยายตัว 3.5%(จากปีที่แล้วส่งออกไทยขยายตัว 5.8%) และภาคการท่องเที่ยวและบริการยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง

ทั้งนี้คาดการณ์ขยายตัวของจีดีพีไทยในปี 2568 ของสภาพัฒน์ที่ 2.8% อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ที่มีการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ได้คงประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ของไทยในปี 2568 ไว้ที่ 2.4-2.9% ส่วนการส่งออกคาดจะขยายตัวได้ 1.5-2.5% ขณะที่เป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ได้หารือร่วมกับภาคเอกชนคาดปีนี้ส่งออกไทยจะขยายตัวได้ 2-3%

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาภาคการส่งออกของไทย ที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีของประเทศเกือบ 60% และเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาพรวมปีนี้ถือมีปัจจัยเสี่ยงอยู่มาก เฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายการค้าของสหรัฐในยุค “ทรัมป์ 2.0” ที่ได้ประกาศนโยบายออกมาในหลายเรื่องที่ถือเป็นการจัดระเบียบการค้าใหม่ของโลก โดยยึดผลประโยชน์ของอเมริกาต้องมาก่อน(America First) เลิกให้แต้มต่อด้านภาษีแก่ประเทศคู่ค้า และประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งรวมถึงประเทศไทย เพื่อลดการขาดดุลการค้าที่ระบุในปี 2567 สหรัฐขาดดุลการค้ากับทั่วโลกถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ล่าสุด นโยบายที่มีความชัดเจนแล้ว ทรัมป์ ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าเหล็ก และอลูมิเนียม จากทุกประเทศในอัตรา 25% (มีผลบังคับใช้ 12 มี.ค. 68) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเหล็กของไทยไปตลาดสหรัฐซึ่งเป็นตลาดส่งออกเหล็กอันดับ 1 ของไทยไม่มากก็น้อย (ปี 2567 ไทยส่งออกเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ไปสหรัฐ 42,375 ล้านบาท) ตามด้วยการเตรียมปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์อีก 25% คาดจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าหากมีการปรับขึ้นภาษีจะส่งผลกระทบกับการส่งออกรถยนต์ของไทยไปสหรัฐที่ในปี 2567 ล่าสุด ไทยมีการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบไปสหรัฐ มูลค่า 66,525 ล้านบาท

นอกจากนี้ทรัมป์ ยังประกาศจะเก็บภาษีในอัตราเท่าเทียมสำหรับในกลุ่มสินค้าเดียวกับที่ประเทศคู่ค้าเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ซึ่งมีหลายกลุ่มสินค้าของไทยที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐสูงกว่าที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าจากไทย อาจถูกปรับขึ้นภาษีในอัตราเท่าเทียม เช่น รถยนต์นั่งและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารทะเลกระป๋อง เหล็กและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

ยังไม่นับรวมถึงสินค้าอีก 29 รายการที่เป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐอาจถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม และอีกหลาย ๆ มาตรการทางการค้าที่ทรัมป์ออกมาขู่เป็นรายวัน เพื่อให้เกิดการเจรจาต่อรอง ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีมาตรการรองรับทั้งมาตรการเชิงรับและเชิงรุกที่ดี และทำให้เป็นที่พอใจของทางสหรัฐ ก็มีโอกาสสูงที่การส่งออกของไทยไปสหรัฐ ที่เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยในปีนี้จะขยายตัวลดลง (ปี 2567 สหรัฐเป็นตลาดส่งออกของไทยสัดส่วน 18% ของการส่งออกไทยไปทั่วโลก โดยไทยส่งออกไปสหรัฐ 1.92 ล้านล้านบาท ขยายตัว 15.6%)

นอกจากนี้ผลกระทบที่จะตามมา จากนโยบายการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้ซัพพลายเชนของโลกทั้งด้านการผลิต และการส่งออกเกิดความปั่นป่วน เนื่องจากแต่ละประเทศจะต้องวิ่งหาตลาดใหม่เพื่อชดเชยผลกระทบจากการใช้มาตรการของสหรัฐ จะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคากันอย่างรุนแรง ระหว่างสินค้าไทยกับสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ในตลาดใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่สหรัฐ เฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันกับสินค้าจากจีน และเวียดนาม ที่เป็นโรงงานผลิตของโลก รวมถึงกับสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านย่านอาเซียนด้วยกันเอง

แค่ภาคการส่งออกซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลัก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ส่อจะสะดุด ตั้งแต่ต้นปี ถือเป็นสัญญาณเตือนจีดีพีของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ตามเป้าหมายคงไม่ง่าย ซึ่งภาครัฐและเอกชนคงต้องประสานการทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อฝ่าฟันความผวนไปให้ได้ ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายของเศรษฐกิจไทย


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.